Skip to content

สอบ GED 4 วิชา เลือกสอบอะไรก่อนดี?

GED

สอบ GED 4 วิชา ยากไหม? เลือกสอบวิชาอะไรก่อนดี? การสอบ GED ถือว่า popular มากในหมู่นักเรียนไทย เพราะเป็นทางลัดให้ได้รับวุฒิการศึกษาระดับ ม.ปลาย โดยใช้เวลาไม่นาน วุฒิ GED ยังเป็นที่ยอมรับนานาประเทศ และได้รับการรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ ใช้ยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยเนื้อหาที่สอบจะเป็นความรู้ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วย 4 วิชา คือ Reasoning through Language Arts (การใช้เหตุผลผ่านศิลปะทางภาษา), Mathematical Reasoning (การใช้เหตุผลทางคณิตศาสตร์), Science (วิทยาศาสตร์) และ Social Studies (สังคมศึกษา) การสอบ GED เป็นการสอบแยกทีละวิชา ไม่ต้องเรียงลำดับ ดังนั้น นักเรียนจึงสามารถเลือกสอบวิชาใดก่อนก็ได้ ถ้านักเรียนบางคนที่บริหารเวลาได้ดี อาจสอบครบทั้ง 4 วิชา ในวันเดียว หรือวันละ 2 วิชา หรือวันละ 1 วิชา หรือเดือนละ 1 วิชา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน นักเรียนหลายคนก็มีคำถามว่า ควรเลือกสอบวิชาไหนก่อนดีล่ะ?

คำถามนี้ตอบยาก เพราะนักเรียนแต่ละคนก็มีพื้นฐานแตกต่างกัน มี ทักษะความรู้ ความถนัดความชอบของตัวเอง โดยทั่วไป ถ้าเป็นนักเรียนอเมริกันส่วนใหญ่ จะมีปัญหากับวิชา คณิตศาสตร์ เพราะยากและท้าทายที่สุด จากทั้ง 4 วิชา ส่วนนักเรียนไทย แน่นอนว่า วิชาที่หินที่สุด คือ วิชาภาษาอังกฤษ หรือ RLA – Reasoning through Language Arts นั่นเอง

แล้วเราควรจะเลือกสอบวิชาที่ง่ายที่สุดให้ผ่านก่อน จะได้สร้างขวัญกำลังใจ หรือจะเลือกสอบวิชาที่ยากและท้าทายที่สุดก่อนดี เพื่อความฮึกเหิม แบบถ้าผ่านตัวนี้ไปได้ ที่เหลือก็สบายแล้ว พี่กริฟฟินว่า การเลือกวิชาที่ยากที่สุดอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เพราะถ้าสอบไม่ผ่านสักที อาจบั่นทอนกำลังใจเราได้ ก่อนอื่นลองเช็กความพร้อมของเรา โดยพิจารณาให้รอบด้าน และทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการสอบ เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเองก่อนไปสอบกันดีกว่า

สอบ GED วิชาไหนง่ายที่สุด

ทุกคนต้องถามตัวเองก่อนนะ สำหรับตัวเราเองแล้ว วิชาไหนง่ายที่สุด

นักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาในระดับดีถึงดีมาก หลายคนเริ่มต้นด้วยการสอบ GED RLA เนื่องจากคิดว่าง่ายที่สุด และเลือก GED Math ไว้สอบท้ายสุด

ที่จริงแล้ว วิชา GED Science นั้น มีอัตราการสอบผ่านสูงสุดของการสอบทั้ง 4 วิชา ดังนั้นนักเรียนหลายคนเลือกสอบ Science ก่อน เพราะคิดว่าง่ายที่สุด

ในอเมริกา การสอบ GED Math มีอัตราการสอบผ่านที่ต่ำกว่ามาก ดังนั้นจึงเป็นวิชาที่ยากและท้าทายสำหรับหลาย ๆ คน ส่วนในไทยนั้น อาจจะตรงกันข้ามเลย นักเรียนไทยสอบวิชา Math ผ่านฉลุย นักเรียนหลายคนเลยเลือกสอบ Math เอาฤกษ์เอาชัยก่อน

ส่วน GED Social Studies และ GED RLA นั้น มีอัตราการสอบผ่านที่ใกล้เคียงกัน นับเป็น 2 วิชา สุดหินสำหรับนักเรียนไทย เนื่องด้วยความที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์หรือระบบการเมืองการปกครองอเมริกัน รวมทั้งพื้นฐานภาษาอังกฤษและทักษะการอ่านเขียน การคิดวิเคราะห์ที่ไม่แข็งแรง นักเรียนส่วนมากเลยเลือกสอบเป็นลำดับท้าย ๆ

วางแผนเลือกสอบ GED ทีละวิชา

ตามที่บอกไว้ตอนต้น การสอบ GED ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าจะต้องสอบพร้อมกันในครั้งเดียว ทั้ง 4 วิชา นั้น แยกจากกันเป็นอิสระ นักเรียนพร้อมเมื่อไหร่ ก็ไปลงทะเบียนและเลือกสอบให้ผ่านได้ทีละวิชา

แน่นอนว่า นักเรียนที่ภาษาอังกฤษดีและมีทักษะการอ่านที่เยี่ยมยอด อ่านเข้าใจ ได้ประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้อ่าน มักจะทำได้ดีมาก รวมทั้งวิชา GED Math เพราะว่า ข้อสอบ GED นั้น เป็นการอ่านคิดวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้งาน ไม่ใช่การท่องจำเพียว ๆ ดังนั้น นักเรียนไทยที่ภาษาอังกฤษยังไม่แน่น ควรปรับพื้นฐาน และพัฒนาทักษะการอ่านเป็นอันดับแรก

ฝึกฝนและทดลองทำแบบทดสอบ GED Ready

สำหรับการสอบ GED ในประเทศไทยนั้น นักเรียนต้องเริ่มต้นด้วยการทำแบบทดสอบ GED Ready ให้ผ่านโดยได้คะแนนแต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า 155 จาก 200 คะแนน เสียก่อน จึงจะสามารถลงสอบ GED ข้อสอบจริงได้ ซึ่ง GED Ready นี้ก็คือแบบฝึกหัดการสอบ GED เสมือนจริง ลักษณะเนื้อหาข้อสอบเหมือนข้อสอบจริง แต่มีจำนวนข้อน้อยกว่า และมีการจับเวลาสอบเช่นกัน โดยนักเรียนสามารถลงทะเบียนและทำการสอบผ่านอินเตอร์เน็ตจากที่บ้านได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการสอบครั้งละ $6.99 สามารถทราบผลสอบได้ทันที และจะมีการรายงานผลคะแนน วัดความพร้อม วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ทักษะที่ควรเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คะแนนดี ๆ

นอกจากเป็นความจำเป็นที่จะต้องทำแบบทดสอบให้ผ่านเพื่อจะลงทะเบียนสอบจริงได้นั้น การฝึกทำแบบทดสอบ GED Ready สามารถทำได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดความคุ้นเคยกับลักษณะโครงสร้างข้อสอบ ฟังก์ชั่นการใช้งานเครื่องคิดเลข ปุ่มต่าง ๆ การเลื่อนหน้าต่างข้อสอบ และอื่น ๆ เหล่านี้ล้วนช่วยให้นักเรียนลดความตื่นเต้นกังวล และมั่นใจเมื่อไปทำข้อสอบในสนามสอบจริง

เมื่อนักเรียนได้ทราบผลคะแนน GED Ready ก็จะเห็นว่า วิชาไหนกันนะที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดสำหรับตัวเอง และต้องเพิ่มเติมทักษะส่วนไหนจึงจะประสบความสำเร็จในการสอบ

ทบทวนเนื้อหา

หลังจากทำข้อสอบ GED Ready แล้ว นักเรียนควรทบทวนโจทย์คำถามทั้งหมด ไม่เฉพาะแค่ที่ตอบผิด เผื่อถ้ามีข้อไหนที่บังเอิญโชคดีเดา ๆ ถูก ก็จะได้ทบทวนกันอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยให้เราแม่นเนื้อหาข้อสอบยิ่งขึ้น

ส่วนเมื่อทบทวนแล้ว เจอข้อคำตอบที่คิดผิด ให้ตรวจย้ำอีกทีให้รู้แน่ว่าตอบผิดตรงไหน อย่างไร และคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร เพื่อเป็นการเรียนรู้ ทบทวนซ้ำ

นักเรียนลองจัดทำลิสต์หัวข้อที่ยังไม่แม่นยำ แล้วใช้เวลาไล่ทบทวน เน้นไปทีละข้อ ๆ ทำให้สม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้นักเรียนทบทวนความรู้ได้ดีและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นานแค่ไหนกว่าจะได้วุฒิ GED?

มีนักเรียนจำนวนมากที่มาติวสอบที่ House of Griffin และสอบผ่านจนได้รับวุฒิ GED โดยใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือน หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน

อย่าลืมว่านักเรียนทุกคนมีความแตกต่างกัน และวิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวให้พร้อมก็คือ การเรียนอย่างสม่ำเสมอ ตั้งเป้าหมายและยึดมั่นในสิ่งนั้น มุ่งมั่น และให้เวลาตัวเองมากพอที่จะเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมดที่พบในข้อสอบ GED

ไม่ต้องรีบร้อน นักเรียนหลายคนอยากสอบทั้งหมดให้ผ่านในวันเดียว ซึ่งถึงแม้จะทำได้ แต่ก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะการสอบแต่ละครั้งมีความกดดันและความเครียด การสอบ GED เปิดสอบทุกวัน และในวันหนึ่งมีหลายช่วงเวลา โดยปัจจุบันก็มีศูนย์สอบเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง รองรับนักเรียนได้มากขึ้น ดังนั้น นักเรียนไม่จำเป็นต้องสอบทั้ง 4 วิชา ให้หมดในวันเดียว

ผลคะแนนสอบ GED ไม่มีวันหมดอายุ ดังนั้น แม้นักเรียนจะสอบผ่านวิชาแรกไปแล้ว อยากจะใช้เวลาเตรียมตัววิชาถัดไป โดยเว้นสัก 2-3 เดือน แล้วค่อยสอบ ก็สามารถทำได้

หากคิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว พร้อมแล้ว แต่ไปสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ซึ่งจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 145 จาก 200 คะแนน ก็ไม่ต้องตกใจไป ถ้าสอบครั้งแรกไม่ผ่าน ยังมีโอกาสให้สอบแก้ตัวได้อีก 2 ครั้ง โดยไม่ต้องมี waiting period แต่ถ้าไปสอบ 3 ครั้ง แล้วยังไม่ผ่าน นักเรียนจำเป็นจะต้องรออีก 60 วัน จึงจะลงสอบใหม่ได้

สิ่งที่สำคัญก็คือ ให้จดจ่อกับการเตรียมตัวให้ดี ให้พร้อมที่สุด ทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาและโครงสร้างข้อสอบ เรียนรู้เทคนิคการทำข้อสอบ และใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อนักเรียนสอบผ่านครบหมดทั้ง 4 วิชา จะได้รับ E-Diploma และ E-Transcript ส่งมาให้ทางอีเมล ภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ นักเรียนยังจะได้รับ Paper Diploma และ Transcript โดยจะต้องชำระค่าจัดส่งไปรษณีย์ระหว่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งจะได้รับภายใน 5-7 วัน หลังทำการสั่งและชำระเงิน

Share this article