
ถ้าน้องคนไหนกำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบ SAT เพื่อเตรียมตัวสอบก่อนยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัย วันนี้พี่กริฟฟินก็จะพาน้อง ๆ ไปรู้จักกับการสอบ SAT แบบเจาะลึกทุกแง่มุม ตั้งแต่ SAT คืออะไร ? สอบอะไรบ้าง ? คะแนนเต็มเท่าไร ? สอบ SAT ที่ไหน ? ติว SAT ที่ไหนดี ? และคำถามอื่นที่สงสัยเกี่ยวกับการสอบ SAT แบบจัดเต็ม
SAT คืออะไร ?
Scholastic Assessment Test หรือที่นิยมเรียกกันแบบย่อ ๆ ว่า SAT คือ ข้อสอบวัดทักษะการเขียนและอ่านภาษาอังกฤษ (Reading and Writing Skill) และวัดทักษะการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Mathematic) ที่มีที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยข้อสอบ SAT ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีมาตรฐานและสามารถวัดทักษะความรู้ได้จริง ทำให้สถานศึกษาและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จากทั่วโลกนิยมเอาการสอบ SAT มาใช้เป็นหนึ่งในคุณสมบัติขั้นต่ำสำหรับการพิจารณารับนักศึกษาเข้าเรียน รวมถึงมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเองก็รับคะแนน SAT ทั้งหลักสูตรอินเตอร์และหลักสูตรทั่วไป (ไทย) ทั้งจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหิดล ศิลปากร มศว เกษตร และมหาวิทยาลัยชั้นนำอีกมากมาย ดังนั้นน้อง ๆ ม.ปลายจึงควรสมัครสอบเอาไว้เพื่อเอาคะแนนไปยื่นเรียนต่อนั่นเอง
SAT สอบอะไรบ้าง ?
อย่างที่ระบุไปข้างต้นว่าข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ แต่หลังจากปีพ.ศ. 2566 ได้มีการปรับรูปแบบการสอบ SAT ใหม่ จากเดิมที่ใช้การสอบเขียนกระดาษ (SAT Paper Based Test) มาเป็นการสอบ Digital SAT หรือการสอบ SAT ออนไลน์ในรูปแบบ Adaptive Test ผ่านแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Bluebook เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สอบ และมีการแบ่งข้อสอบออกเป็น 2 Module ที่จะมีการปรับความยากง่ายตามความสามารถของผู้สอบ แต่เนื้อหาการสอบยังคงเดิม คือ มีการสอบใน 2 รายวิชา ได้แก่ SAT Verbal (ภาษาอังกฤษ) และ SAT Math (คณิตศาสตร์)
โครงสร้างของข้อสอบ Digital SAT
ก่อนที่จะเริ่มเจาะลึกในการสอบ SAT ในแต่ละรายวิชา พี่กริฟฟินจะพาไปทำความรู้จักกับโครงสร้างของข้อสอบ Digital SAT กันก่อน เพราะการสอบ Digital SAT นั้นจะมีการแบ่งข้อสอบในแต่ละรายวิชาออกเป็น 2 Module ย่อย ดังนี้
-
Module 1 หรือข้อสอบในส่วนแรกของ Digital SAT จะเป็นข้อคำถามที่ผู้สอบทุกคนได้รับเหมือนกัน มีระดับความยากของข้อสอบคละกัน ตั้งแต่ระดับง่าย-ปานกลาง-ยาก ซึ่งคะแนนของข้อสอบในส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดความยากง่ายของข้อสอบชุดถัดไป
-
Module 2 หรือข้อสอบชุดที่ 2 ของ Digital SAT จะเป็นข้อคำถามที่ระบบคัดเลือกมาให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้สอบโดยอ้างอิงจากคะแนนสอบใน Module 1
ดังนั้นใครที่ทำข้อสอบใน Module 1 ได้เยอะก็จะมีโอกาสได้ข้อสอบใน Module 2 ที่มีระดับความยากมากขึ้นและมีโอกาสคว้าคะแนนเต็มมาได้ แต่หากทำข้อสอบใน Module 1 ได้คะแนนน้อย ระบบก็จะจัดข้อสอบที่มีความยากน้อยลงใน Module 2 เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้สะดวกขึ้น แต่คะแนนรวมจะน้อยกว่าคนที่ได้ข้อสอบ Module 2 ที่มีระดับความยากสูง
SAT Verbal (Reading and Writing)
SAT Verbal เป็นข้อสอบ Digital SAT ที่วัดทักษะภาษาอังกฤษด้านการอ่านและการเขียน (Reading and Writing) กำหนดเวลาการสอบทั้งหมดที่ 64 นาที และมีจำนวนทั้งหมด 54 คำถาม แบ่งการสอบออกเป็น 2 Module เท่า ๆ กัน คือ Module ละ 27 คำถาม 32 นาที แบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
- Information and Ideas (12 – 14 ข้อ คิดเป็น 26%) วัดทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การตีความ การจับใจความและประเมินสถานการณ์ โดยโจทย์จะมีทั้งบทความ, ตาราง, กราฟ และแผนภูมิ
- Craft and Structure (13 – 15 ข้อ คิดเป็น 28%) วัดทักษะด้านการทำความเข้าใจคำศัพท์ โครงสร้างและจุดประสงค์ของบทความ การเลือกใช้ศัพท์ ความเชื่อมโยงของคำศัพท์และข้อมูล โดยโจทย์จะเป็นรูปแบบบทความ
- Expression of Ideas (8 – 12 ข้อ คิดเป็น 20%) วัดทักษะด้านการเรียบเรียงข้อมูลและการใช้คำเชื่อมเพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้สื่อความหมายออกมาได้ตรงตามจุดประสงค์ที่กำหนด
- Standard English Conventions (11 – 15 ข้อ คิดเป็น 26%) วัดทักษะด้านการใช้ไวยากรณ์ การเลือกใช้คำศัพท์ เครื่องหมายวรรคตอน การวางโครงสร้างและการเรียบเรียงประโยคให้ถูกต้อง
SAT Math (Mathematic)
SAT Math เป็นข้อสอบวัดความสามารถในการคิดคำนวณโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยอนุญาตให้ผู้สอบสามารถใช้เครื่องคิดเลขภายในแอปพลิเคชันที่ใช้สอบ (Bluebook) ในการคำนวณได้ทุกข้อ กำหนดเวลาการสอบทั้งหมดที่ 70 นาที และมีจำนวนทั้งหมด 44 คำถาม แบ่งการสอบออกเป็น 2 Module เท่า ๆ กัน คือ Module ละ 22 คำถาม 35 นาที แบ่งเนื้อหาการสอบออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
- Algebra (13 – 15 ข้อ คิดเป็น 35%) โจทย์ปัญหาพีชคณิต วัดความสามารถในการวิเคราะห์ แก้สมการเชิงเส้น ระบบสมการ อสมการ และฟังก์ชันต่าง ๆ
- Advanced Math (13 – 15 ข้อ คิดเป็น 35%) โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ขั้นสูง วัดความสามารถในการแก้สมการคณิตศาสตร์เชิงลึก, ฟังก์ชัน, Nonlinear, ระบบสมการสองตัวแปร, จำนวนตรรกยะ, การหาค่าสัมบูรณ์ โดยโจทย์ในส่วนนี้จะมีความคล้ายคลึงกับโจทย์ปัญหาในการเรียนสาย STEM จึงเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่อยากเรียนในสายวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ในอนาคต
- Problem Solving and Data Analysis (5 – 7 ข้อ คิดเป็น 15%) โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้านการใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูล วัดความสามารถในการคำนวณอัตราส่วน, ร้อยละ, การอนุมาน, การกระจัด, ความน่าจะเป็น และความสัมพันธ์ตามสัดส่วน ตลอดจนการวิเคราะห์และตีความข้อมูลแบบตัวแปรเดียวและสองตัวแปร
- Geometry and Trigonometry (5 – 7 ข้อ คิดเป็น 15%) โจทย์ปัญหาเลขาคณิตและตรีโกณมิติ วัดความสามารถในการหาพื้นที่, ปริมาตร, จุดศูนย์กลาง, รัศมี, มุม เป็นต้น
คะแนน SAT คืออะไร ? มีคะแนนเต็มเท่าไหร่ ?
ในส่วนของคะแนน SAT จะมีคะแนนเต็มทั้งหมดอยู่ที่ 1,600 แบ่งออกเป็นคะแนน SAT Verbal 800 คะแนน และคะแนน SAT Math อีก 800 คะแนน ซึ่งคะแนนในแต่ละรายวิชาก็จะแยกออกไปตาม Module โดยข้อสอบ Module 1 ของ SAT Verbal และ SAT Math จะมีคะแนนเต็มที่ 400 คะแนนเท่ากันทุกคน แต่ข้อสอบใน Module 2 ของแต่ละรายวิชาจะมีคะแนนเต็มที่ 400 คะแนน แต่หากใครทำข้อสอบใน Module 1 ได้คะแนนน้อย ระบบจะทำการจัดข้อสอบใน Module 2 ที่มีระดับความง่ายมากขึ้นมาให้ และคะแนนใน Module 2 จะลดลงมาตามความสามารถนั่นเอง
- วิธีคิดคะแนน SAT
Digital SAT ไม่มีวิธีคิดคะแนนรายข้อแบบตายตัว เพราะข้อสอบแต่ละข้อจะมีคะแนนแตกต่างกันตามระดับความยากง่าย โดยข้อที่ตอบผิดและเว้นว่างจะนับคะแนนเป็น 0 คะแนน (ไม่หักคะแนนข้อตอบผิด) คะแนนรวมของทั้ง 2 พาร์ทมาบวกกันเป็นคะแนนดิบ (Raw Score) จากนั้นเอามาคูณ 10 ก็จะได้คะแนน SAT ออกมานั่นเอง
- คะแนน SAT ใช้งานได้กี่ปี ?
คะแนน SAT มีอายุการใช้งาน 2 ปีนับจากวันประกาศผล น้อง ๆ จึงสามารถเตรียมตัวสอบได้ตั้งแต่ม. 5 เป็นต้นไปเพื่อนำเอาคะแนน SAT ไปยื่นใช้งานในการเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ SAT ยังสามารถสอบได้แบบ “ไม่จำกัดจำนวนครั้ง” ทำให้สามารถลงสอบซ้ำเพื่อนำเอาคะแนนที่ดีกว่าไปยื่นเข้าคณะที่ต้องการ
วิธีการสมัครสอบ SAT
สามารถสมัครสอบ SAT ออนไลน์ได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ College Board ถัดมาให้กดเข้าสู่ระบบหรือสร้างบัญชีใหม่ เลือกวัน-เวลาและสนามสอบที่ต้องการ ตามด้วย Upload รูปของตนเองเพื่อติดบัตรสอบและดำเนินการชำระเงินให้เรียบร้อยก็จะได้ Admission Ticket และอีเมลยืนยันการสมัครสอบ จากนั้นก็สามารถเดินทางไปสอบที่สนามสอบตามวันเวลาที่เลือกเอาไว้ได้เลย (อ่านวิธีการสมัครสอบ SAT แบบละเอียดได้ ที่นี่)
ค่าสอบ SAT
สำหรับการสอบ SAT ของประเทศไทย จะมีการเก็บค่าสอบ 2 ส่วน แบ่งออกเป็นค่าสอบ SAT จำนวน $68 USD และค่า International fee หรือค่าสอบ SAT นอกเขตสหรัฐอเมริกา จำนวน $43 USD รวมทั้งหมดเป็น $111 USD (อัตราค่าสมัครสอบตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปี 2024 – มิถุนายนปี 2025 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต)
ตารางและสนามสอบ SAT ในประเทศไทย
ตารางสอบ SAT ของแต่ละปีจะมีการกำหนดวันสอบที่ต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะมีการเปิดรอบสอบ SAT ทั้งหมด 7 ครั้งในช่วงเดือนมีนาคม, พฤษภาคม, มิถุนายน, สิงหาคม, พฤศจิกายน และธันวาคมของทุกปี โดยเปิดให้ลงทะเบียนสมัครสอบ SAT อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันสอบจริง (หากลงทะเบียนล่าช้าจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม)
สามารถตรวจสอบวันสอบและ Deadline การสมัครสอบ SAT ทั้งหมดได้ ที่นี่
- สนามสอบ SAT ในประเทศไทย
ส่วนใครที่สงสัยว่าลงสอบ SAT ที่ไหนได้บ้างก็สามารถดูรายชื่อสนามสอบ SAT ในประเทศไทยได้ในเว็บไซต์ https://satsuite.collegeboard.org/sat/test-center-search โดยเลือกสถานที่สอบเป็นนอกเขตสหรัฐอเมริกา เลือกวันสอบ จากนั้นประเทศที่ต้องการสมัครสอบ (ประเทศไทย) และกดที่ “Find a Test Center” ก็จะปรากฎสนามสอบในแต่ละรอบขึ้นมาให้เลือกแล้ว โดยการสอบ SAT แต่ละรอบอาจมีสนามสอบที่ต่างกันออกไป จึงแนะนำให้ตรวจสอบสนามสอบก่อนทำการสมัครสอบทุกครั้ง
ข้อสอบ SAT ยากไหม ?
น้องคนไหนที่กังวลว่าข้อสอบ SAT จะยากเกินไป ก็ต้องขอบอกว่าข้อสอบ SAT นั้นไม่ยากเกินความสามารถของน้อง ๆ ทุกคน หากเตรียมความพร้อมในการสอบมากพอก็สามารถทำได้แบบผ่านฉลุยแน่นอน แต่หากใครกังวลว่าจะทำสอบ SAT ไม่ได้ พี่กริฟฟินก็มีเคล็ดลับการเตรียมตัวสอบ SAT 4 ข้อง่าย ๆ มาฝากกัน
4 เคล็ดลับเตรียมตัวสอบ SAT
- อ่านหนังสือตามหัวข้อที่ออกสอบให้ครบถ้วนทุกเนื้อหา ทั้ง SAT Verbal (Reading and Writing) และ SAT Math
- ลองทำข้อสอบเก่า ๆ แบบจับเวลาเหมือนการสอบจริงเพื่อฝึกการบริหารเวลา
- ฝึกใช้งานแอปพลิเคชัน Bluebook เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยในการใช้งานแอปพลิเคชัน
- ลงติวสอบ SAT กับ House of Griffin เพิ่มความมั่นใจก่อนลงสอบจริง
ส่วนในระหว่างการสอบ SAT หากมีข้อไหนที่ไม่มั่นใจหรือทำสอบไม่ได้ พี่กริฟฟินก็แนะนำให้ข้ามข้อสอบไปทำข้ออื่น ๆ แล้วค่อยกลับมาทำ หากยังไม่มั่นใจในคำตอบให้ลองตัดตัวเลือกออกแล้วเลือกข้อที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้เว้นว่างไว้ เพราะสอบ SAT ไม่มีการหักคะแนนในกรณีตอบผิด และข้อที่น้องเลือกตอบอาจเป็นข้อถูกที่ช่วยเพิ่มคะแนนได้นั่นเอง
เลือกติว SAT ต้องที่ House of Griffin
น้องคนไหนสนใจเรียน SAT เพื่อติวเข้มพร้อมเสริมความมั่นใจก่อนลงสอบจริง เลือกติวสอบ SAT กับ House of Griffin สถาบันติวสอบที่มีประสบการณ์กว่า 14 ปี ติวเข้มเจาะลึกทุกพาร์ทการสอบ พร้อมเน้นตะลุยโจทย์จากคลังข้อสอบเก่า เสริมเทคนิคการบริหารเวลาระหว่างทำสอบ และมีทีมวิชาการคอยวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนแบบรายบุคคลจนทำให้น้อง ๆ หลายร้อยคนคว้าคะแนนสอบ SAT ตามที่คาดหวังและนำเอาคะแนนไปยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้แบบชิล ๆ