
ข้อสอบ Duolingo เป็นอย่างไรนะ ใครสงสัยกันบ้าง? บางคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าการทดสอบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Duolingo English Test สามารถนำมาใช้ทดแทนการทดสอบ IELTS หรือ TOEFL ได้ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าข้อสอบ Duolingo English Test ที่จริงแล้วมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง และผู้สอบควรจะเตรียมตัวให้พร้อมอย่างไรดี วันนี้พี่แก้มมีคำตอบมาฝากน้อง ๆ ทุกคนค่ะ
จุดเด่นข้อที่ 1 : “ปรับความยากง่ายไปตามคำตอบของผู้สอบ”
มีน้อง ๆ และผู้ปกครองหลายคนมักจะถามพี่แก้มอยู่เป็นประจำว่า Duolingo English Test ยากหรือง่ายมากน้อยแค่ไหน? คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สอบในขณะที่กำลังทำแบบทดสอบ นะคะ เพราะข้อสอบนี้มีลักษณะเป็น Adaptive Test ที่สามารถปรับความยากง่ายของคำถามได้ตามคำตอบที่ถูกใส่เข้าไปในระบบตั้งแต่แรกเลยว่าผู้สอบตอบถูกหรือผิด หากตอบถูก คำถามข้อต่อไปก็จะเริ่มยากขึ้น แต่ก็มีโอกาสได้คะแนนที่สูงขึ้นด้วย แต่ถ้าตอบผิด คำถามข้อต่อไปก็จะง่ายลง และจะได้คะแนนน้อยลงไปด้วยค่ะ ฉะนั้นหากน้อง ๆ อยากได้คะแนนสูง ๆ ก็จะต้องพยายามตอบให้ถูกอย่างต่อเนื่องนะคะ
จุดเด่นข้อที่ 2 : “วัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ 4 ด้าน”
Duolingo English Test มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการวัดและประเมินทักษะของผู้สอบที่ต่างไปจากการทดสอบแบบอื่น ๆ นะคะ โดย 4 ด้านที่ว่านี้ ประกอบด้วย
- Literacy ความสามารถในการอ่านและการเขียน
- Comprehension ความสามารถในการอ่านและการฟัง
- Conversation ความสามารถในการฟังและการพูด
- Production ความสามารถในการเขียนและการพูด
จะเห็นได้ว่าทุกทักษะไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน ต่างก็สามารถนำมาเชื่อมโยงระหว่างกันได้ทั้งหมด ดังนั้นในขั้นตอนของการฝึกฝน ผู้สอบจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าคำถามแต่ละแบบต้องอาศัยทักษะใดบ้าง เพราะจะมีวิธีการฝึกฝนที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ ค่ะ
จุดเด่นข้อที่ 3 : “ใช้เวลาทำน้อยกว่า แต่ต้องฝึกทุกทักษะมาเป็นอย่างดี”
ถ้าเปรียบเทียบกับแบบทดสอบภาษาอังกฤษที่หลายคนรู้จักกันมาบ้างแล้วอย่างเช่น IELTS หรือ TOEFL ข้อสอบ Duolingo English Test ถือว่าใช้เวลาในการทำแบบทดสอบน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ เพราะแค่ 1 ชั่วโมง ก็ทำเสร็จแล้วจ้า แถมการจับเวลาในคำถามแต่ละประเภทก็กระชับฉับไวมาก เพราะใช้เวลาทำแค่ 3-5 นาที ก็เข้าสู่คำถามประเภทต่อไปแล้วค่ะ ฉะนั้นผู้สอบจะรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบจดจ่ออยู่กับอะไรนาน ๆ นะคะ
แต่กว่าจะตอบได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ผู้สอบจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะมาอย่างเข้มข้นนะคะ พี่แก้มจึงขอแนะนำว่า ควรฝึกทำโจทย์ไปทีละประเภทคำถาม ตามแต่ความถนัดหรือความสะดวกของแต่ละคนได้เลยค่ะ และ ควรฝึกทำโจทย์แต่ละประเภทโดยจับเวลาเหมือนจริง เพื่อสร้างความคุ้นชินกับการทำข้อสอบนะคะ
ว่าแต่มันมีคำถามแบบไหนบ้างน้า? หัวข้อต่อไปมีคำตอบมาให้แล้วจ้า…
จุดเด่นข้อที่ 4 : “แบ่งประเภทคำถามตามทักษะที่สัมพันธ์กัน”
ตามข้อมูลที่ประกาศไว้ในเว็บไซต์ทางการของ Duolingo English Test ประเภทคำถามในแบบทดสอบนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่นำไปคิดคะแนน (Graded Section) มีทั้งหมด 10 ประเภทคำถาม และ ส่วนที่ไม่นำไปคิดคะแนน (Ungraded Section) มีทั้งหมด 2 ประเภทคำถาม ดังต่อไปนี้
ส่วนที่นำไปคิดคะแนน
1. Read and Complete
สิ่งที่ต้องทำ: เติมตัวอักษรเพื่อสร้างคำลงในประโยคของบทความเพื่อให้ได้ใจความที่สมบูรณ์
จำนวนคำถาม: 3-7 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 3 นาที
2. Read and Select
สิ่งที่ต้องทำ: อ่านคำศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอ แล้วเลือกเฉพาะคำศัพท์ที่มีในภาษาอังกฤษ
จำนวนคำถาม: 3-7 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที
3. Listen and Select
สิ่งที่ต้องทำ: ฟังวิธีการออกเสียงคำศัพท์ แล้วเลือกเฉพาะคำศัพท์ที่มีในภาษาอังกฤษ
จำนวนคำถาม: 3-7 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที 30 วินาที
4. Listen and Type
สิ่งที่ต้องทำ: ฟังเสียงพูดประโยคภาษาอังกฤษแล้วพิมพ์ประโยคตามที่ได้ยินให้ถูกต้อง (สามารถฟังซ้ำได้สูงสุด 3 รอบ)
จำนวนคำถาม: 3-7 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที 30 วินาที
5. Read aloud
สิ่งที่ต้องทำ: อ่านออกเสียงประโยคที่ให้มาให้ถูกต้องชัดเจนตามหลักการออกเสียงภาษาอังกฤษ
จำนวนคำถาม: 3-7 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 20 วินาที
6. Write about the Photo
สิ่งที่ต้องทำ: บรรยายรูปภาพที่ให้มาโดยการเขียน ความยาวประมาณ 1-2 ประโยค
จำนวนคำถาม: 3 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที
7. Speak about the Photo
สิ่งที่ต้องทำ: บรรยายรูปภาพที่ให้มาโดยการพูด
จำนวนคำถาม: 1 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 30-60 วินาที
8. Read, then Write
สิ่งที่ต้องทำ: อ่านคำถามที่ให้มาแล้วเขียนตอบอย่างน้อย 50 คำ
จำนวนคำถาม: 1 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 5 นาที
9. Read, then Speak
สิ่งที่ต้องทำ: อ่านคำถามที่ให้มาแล้วพูดตอบให้ครอบคลุมทุกประเด็นให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนด
จำนวนคำถาม: 2 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที 30 วินาที (มีเวลาให้เตรียมตัวก่อนพูด ข้อละ 30 วินาที)
10. Listen, then Speak
สิ่งที่ต้องทำ: ฟังคำถามที่ให้มาแล้วพูดตอบให้ครอบคลุมทุกประเด็นให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนด
จำนวนคำถาม: 1 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1 นาที 30 วินาที (มีเวลาให้เตรียมตัวก่อนพูด ข้อละ 30 วินาที)
ส่วนที่ไม่นำไปคิดคะแนน (แต่จะส่งข้อมูลให้ทางมหาวิทยาลัยพิจารณา)
1. Speaking Sample
สิ่งที่ต้องทำ: เลือกชุดคำถามที่ต้องการมา 1 ชุด (มี 2 ชุดคำถามให้เลือก) แล้วพูดตอบภายในเวลาที่กำหนด (ระบบจะบันทึกเสียงของเราไว้และส่งไปยังมหาวิทยาลัยที่เราสมัครเรียน)
จำนวนคำถาม: 1 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 1-3 นาที
2. Writing Sample
สิ่งที่ต้องทำ: เลือกชุดคำถามที่ต้องการมา 1 ชุด (มี 2 ชุดคำถามให้เลือก) แล้วเขียนตอบภายในเวลาที่กำหนด (ระบบจะบันทึกคำตอบของเราไว้และส่งไปยังมหาวิทยาลัยที่เราสมัครเรียน)
จำนวนคำถาม: 1 ข้อ
เวลาที่ใช้: ข้อละ 3-5 นาที
ส่วนการคิดคะแนนจะใช้ ระบบคอมพิวเตอร์ ในการคิดคำนวณนะคะ ซึ่งในส่วนนี้ทาง Duolingo ไม่ได้เปิดเผยว่าใช้วิธีอย่างไรบ้าง แต่พี่แก้มแนะนำว่าให้น้อง ๆ ทำตามกติกาและคำอธิบายในการทำแบบทดสอบก็จะมีโอกาสคว้าคะแนนสวย ๆ มาได้ไม่ยากเลยค่ะ
และในส่วนของการประกาศผลคะแนนจะแยกเป็นส่วนของคะแนนรวม (Overall) และคะแนนใน 4 ด้าน (Literacy, Comprehension, Conversation, Production) ตามที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ โดยที่ในใบแสดงผลคะแนนจะไม่ได้บอกว่าเราตอบถูกหรือผิดกี่ข้อในแต่ละประเภทคำถามนะคะ
ตัวอย่างใบแสดงผลการทดสอบ Duolingo English Test อย่างเป็นทางการ
จุดเด่นข้อที่ 5 : “ฝึกฝนได้ไม่ยาก แม้มีเวลาเตรียมตัวไม่มาก”
หากใครที่กำลังกังวลว่ามีเวลาเตรียมตัวไม่มากแล้วจะทำอย่างไรดี วันนี้พี่แก้มขอแนะนำ Checklists หัวข้อสำคัญที่น้อง ๆ ควรไปศึกษาและฝึกฝนให้ดีก่อนไปสอบ Duolingo English Test นะคะ ลองสำรวจตัวเองดูว่าทำได้กี่ข้อกันแล้วเอ่ย
Checklists สำหรับทักษะการพูด
- มีสติในการทำความเข้าใจคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง question words ที่ใช้ถาม (เช่น who, what, where, when, why, which, how เป็นต้น)
- ตอบให้ตรงกับประเด็นในคำถาม และตอบให้ครบทุกประเด็น หากเป็นคำถามที่ต้องการเหตุผลหรือคำอธิบายเพิ่มเติม ควรให้เหตุผลที่สมเหตุสมผล และอาจจะยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
- พูดเสียงดังฟังชัด พยายามอ้าปากให้กว้างพอสมควรและนั่งยืดอกพร้อมกับเปล่งเสียงออกไปข้างหน้าในระหว่างที่กำลังพูดด้วยความมั่นใจ
- ใช้ทำนองเสียงขึ้นลง เน้นเสียงหนักเบา และเว้นวรรคภายในประโยคและระหว่างประโยคได้อย่างถูกต้อง
- พูดอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้เงียบนานเกินไป และไม่ต้องไปแก้ไขส่วนที่ตัวเองพูดผิด (self-correction
- ระลึกไว้เสมอว่าเราสามารถบันทึกเสียงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฉะนั้นจึงควรเรียบเรียงความคิดให้แน่ใจก่อนเริ่มตอบ
- ใช้เวลาในการพูดตอบคำถามให้ใกล้เคียงกับระยะเวลาที่โจทย์กำหนด ไม่ควรปล่อยให้เหลือเวลาอยู่มากเกินไป เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถพูดขยายความต่อได้
- มองตรงไปข้างหน้าหรือมองกล้องในระหว่างที่กำลังพูด ห้ามใช้สายตาหันไปมองทางอื่นในระหว่างสอบเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกพิจารณาว่าส่อแววทุจริตได้
Checklists สำหรับทักษะการเขียน
- เขียนสะกดคำในภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง
- ใช้ verb tense ได้เหมาะกับช่วงเวลาและสถานการณ์ในบริบท
- ใช้เครื่องหมายวรรคตอนตามหลักการเขียนภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง
- ใช้ตัวใหญ่ (Capitalization) ได้ถูกต้อง
- ใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษได้เหมาะสมกับบริบท ระดับภาษา น้ำเสียง และคำที่ใช้คู่กัน
- ใช้โครงสร้างประโยคที่มีความหลากหลาย
Checklists สำหรับทักษะการฟัง
- ฝึกฟังประโยคภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วลองเขียนสิ่งที่ได้ยินลงในกระดาษ
- ฝึกฟังวิธีอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง และพยายามออกเสียงตามทุกครั้งเพื่อให้จำได้ หากมีความเข้าใจเรื่องการออกเสียงพยัญชนะต้น สระ และพยัญชนะท้าย จะยิ่งมีโอกาสทำคะแนนได้ดี
Checklists สำหรับทักษะการอ่าน
- เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด และพยายามศึกษาวิธีใช้คำเหล่านั้นในประโยคและบทความเชิงวิชาการ
- ฝึกฝนวิธีอ่านออกเสียงคำในระดับประโยคให้ถูกต้อง
สรุปได้ว่าการทดสอบภาษาอังกฤษ Duolingo English Test นั้นมีลักษณะเฉพาะที่ค่อนข้างแตกต่างไปจาก IELTS และ TOEFL อยู่พอสมควรนะคะ แต่ข้อดีของมันก็มีหลายอย่างเลย อาทิ
- ใช้เวลาสอบทั้งสิ้นเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
- สอบได้ทุกที่ทุกเวลา (หากมีอุปกรณ์พร้อมใช้งานและมีสัญญาณ internet ที่ดี)
- รู้ผลสอบอย่างรวดเร็วภายใน 2 วันหลังจากสอบเสร็จ
- ส่งผลคะแนนไปถึงมหาวิทยาลัยได้โดยตรง
- จ่ายค่าสมัครสอบถูกกว่า เพียงครั้งละ 49 USD เท่านั้น
- นำผลคะแนนไปใช้สมัครเรียนต่อระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นได้จริงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
- เก็บผลคะแนนไว้ใช้ได้นานถึง 2 ปี
เพราะฉะนั้นถ้าน้อง ๆ คนไหนตัดสินใจได้แล้วว่าจะสอบอันนี้แหละ ก็อย่ารอช้า รีบหาเวลาฝึกฝนได้เลย ณ บัดนี้จ้า โดยสามารถเข้าไปทดลองทำ Practice Test ได้แบบฟรี ๆ ที่เว็บไซต์ทางการของ Duolingo ได้เลย
ข้อสอบ Duolingo ไม่ยากจนเกินไปเลยใช่ไหมคะ พี่แก้มแนะนำให้น้อง ๆ ลองทำแบบทดสอบดูก่อนนะคะ จะได้รู้ว่าเราน่าจะทำได้ประมาณกี่คะแนน ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้หรือยัง และควรไปฝึกหัวข้อไหนเพิ่มเป็นพิเศษ หรือถ้าน้อง ๆ คนไหนชอบฝึกแบบมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุดก็สามารถมาปรึกษาพี่ ๆ ที่ House of Griffin ได้เลยนะคะ แล้วพบกันค่า!!
อ่านบทความเพิ่มเติม : Duolingo English Test ใช้ยื่นเข้ามหิดลอินเตอร์ (MUIC) แทน IELTS หรือ TOEFL ได้
อ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง